ดูดไขมันหน้าท้อง เจ็บไหม ราคาเท่าไหร่ มาหาคำตอบกันได้เลย

ดูดไขมันหน้าท้อง สิ่งที่สำคัญมากๆก็คือ ควรทำพร้อมกันทั้งท้องบน และท้องล่างเสมอ ถ้าต้องการให้สวยอย่าง perfect แนะนำให้ทำพร้อมกับบริเวณเอวและห่วงยางไปพร้อมกันด้วย ถึงได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก เพราะการดูดแบบเหมาทั้งหมดจะทำให้เส้นรอบวง หรือที่เราเรียกว่ารอบเอว เล็กลงอย่างมาก และดูสวยเป็นธรรมชาติ

สารบัญ

  1. ดูดไขมันหน้าท้อง มีกี่แบบ
  2. ใครบ้างเหมาะกับการดูดแบบแบนราบ (แบบที่1)
  3. ใครบ้างเหมาะกับการดูดแบบปั้นร่อง 11 (แบบที่2)
  4. มีลูกแล้ว ทำได้หรือไม่
  5. หลังคลอด ต้องรอนานเท่าไหร่ ถึงทำได้
  6. มีแผลกี่จุด
  7. ภาวะที่ต้องเจอเป็นปกติหลังทำ
  8. ไขมันควรจะออกกี่ซีซี
  9. การดูแลหลังดูดไขมันหน้าท้อง
  10. ทำแล้วนานไหมกว่าจะเห็นผล
  11. สรุป

ดูดไขมันหน้าท้อง มีกี่แบบ

การดูดไขมันหน้าท้องในปัจจุบันผมแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก คือ

  1. การดูดให้หน้าท้องลีน แบนราบ

  2. การดูดปั้นกล้ามท้อง ร่อง11

ซึ่งทั้งสองแบบจะใช้วิธีการและเทคนิคการดูดที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ดังนั้นในขั้นตอนการปรึกษาแพทย์ก่อนทำ คนไข้สามารถแจ้งกับแพทย์ได้โดยตรงว่าต้องการทำให้ออกมาในรูปแบบไหน เพราะแต่ละคนก็มีหุ่นในฝันที่ไม่เหมือนกัน

ดูดให้ลีน แบนราบ

ดูดปั้นกล้ามท้อง ร่อง 11

ใครบ้างเหมาะกับแบบลีน แบนราบ

การดูดไขมันหน้าท้องแบบลีน หรือให้แบนราบ สามารถทำได้ในคนไข้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ไซส์ S M L XL 2XL 3XL เพราะการดูดไขมันหน้าท้องแบบลีน คือการเอาไขมันออกให้ได้เยอะที่สุด และเอาออกให้เท่าๆกันในทุกบริเวณ

สำหรับเคสที่เป็นไซส์ XL ขึ้นไป ผมแนะนำให้ทำวิธีนี้ (ดูดแบบลีน) จะดีที่สุด เพราะคนที่เป็นไซส์ XL ขึ้นไป หากเราดูดแบบที่ 2 คือดูดแบบปั้นกล้ามท้อง ร่อง 11 หลังทำผลลัพธ์จะออกมาไม่เป็นธรรมชาติ และอาจจะมีไขมันหลงเหลือบริเวณหน้าท้องบนและล่าง ซึ่งอาจจะเป็นปัญหากวนใจคนไข้ในระยะยาวได้

ส่วนเคสที่เป็นไซส์ S M L สามารถเลือกได้นะครับ ว่าต้องการดูดไขมันแบบไหน จะทำแบบลีนก็ได้ ในกรณีบางคนที่ไม่ชอบให้ตัวเองดูมีกล้ามมากเกินไป หรือไม่ชอบมีร่อง 11 ส่วนในคนที่ต้องการดูมีกล้าม ดูมีร่อง 11  ก็สามารถดูดไขมันแบบปั้นกล้ามท้องได้เช่นกัน

ใครบ้างเหมาะกับการดูดร่อง 11

คนที่เหมาะกับการดูดไขมันหน้าท้อง แบบปั้นกล้าม หรือ ร่อง 11 คือ คนที่มีไขมันไม่เยอะมากจนเกินไป ซึ่งก็คือ size S M L ส่วนคนที่มีไขมันหน้าท้องเยอะเกินไป ซึ่งก็คือ size XL ขึ้นไป แนะนำให้ดูดไขมันหน้าท้องแบบลีน หรือ แบนราบมากกว่า

ทั้งนี้เนื่องจากหากเรามีไขมันเยอะเกินไปแล้วมาดูดเพื่อปั้นร่อง 11 ผลลัพธ์ที่ได้คือ อาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ดูปลอมเกินไปนั้นเอง

อีกปัจจัยที่มีผลสำคัญเช่นกัน คือ ความกระชับของผิวหนังและกล้ามเนื้อหน้าท้อง หากเรามีผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ตึง หรือ ไม่หย่อนเกินไปมาก ก็สามารถดูดปั้นร่อง 11 ได้ แต่หากเรามีผิวหนังที่หย่อนเกินไป ก็ไม่แนะนำให้ดูดปั้นร่อง 11 เช่นกัน เนื่องจากผลลัพธ์หลังทำอาจจะมีร่องที่ไม่ชัดมาก และดูไม่เป็นธรรมชาติ

มีลูกแล้ว ดูดไขมันหน้าท้อง ได้หรือไม่

ทำได้แน่นอนครับ เคสส่วนใหญ่ที่มาดูดไขมันหน้าท้องเป็นเคสที่เพิ่งคลอดลูกไป แล้วหลังคลอดต้องการวิธีที่ลดหน้าท้องได้อย่างรวดเร็ว การดูดไขมันหน้าท้องหลังคลอดจึงสามารถทำได้ และได้ผลดีด้วยครับ

หลังคลอดบุตร ต้องรอนานเท่าไหร่ ถึงมาดูดไขมันหน้าท้องได้

คำตอบผมขอแบ่งเป็น 2 กรณี นะครับ

  1. กรณีคลอดธรรมชาติ หรือคลอดเอง ถ้าเรารู้สึกว่าฟื้นตัวได้ดีแล้ว มีเวลาว่างบ้าง สามารถมาทำได้เลย โดยไม่ต้องรอ
  2. กรณีผ่าคลอด ในขั้นตอนของการผ่าตัดคลอด สูตินรีแพทย์จะต้องทำการผ่าลงไปในทุกชั้นของหน้าท้อง คือ ชั้นผิวหนัง ชั้นไขมัน ขั้นกล้ามเนื้อ ชั้นเนื้อเยื่อต่างๆ ดังนั้น ควรรอให้ครบ 3-6 เดือนก่อนเพื่อให้ชั้นต่างๆของหน้าท้อง ได้สมานและหายดีก่อน โดยในปัจจุบัน การผ่าคลอดมักจะเป็นแบบแนวขวาง แต่จะมีบางเคสที่ผ่าคลอดแบบแนวยาว ซึ่งไม่ว่าจะผ่าแนวไหน ก็สามารถทำการดูดไขมันหน้าท้องได้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าคลอด คลิกเลย

แผลผ่าคลอด

ดูดไขมันหน้าท้อง มีแผลกี่จุด

ขอแบ่งเป็น 2 กรณีนะครับ

กรณีเคสตัวเล็ก ด้านหน้าเราจะลงแผลเพียงแค่ 3 จุดเท่านั้น โดย มี 2 จุดซ่อนไว้ใต้ขอบกางเกงใน และอีก 1 จุดซ่อนไว้เหนือสะดือ

กรณีเคสตัวใหญ่ หากต้องการดูดไขมันให้ออกเยอะที่สุด หรือดูดให้แบนราบไปเลย ในบางเคส ย้ำว่าบางเคสนะครับ อาจจะต้องมีการลงแผลที่ด้านบน (ใต้ราวนม) อีก 2 จุด เพื่อที่จะดูดเก็บไขมันในส่วนของหน้าท้องด้านบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะลงแผล 3 จุด หรือ 5 จุด ด้วยเทคนิคการดูดไขมันขั้นสูง จะทำให้ทุกแผลอยู่ในร่มผ้าและตามรอยพับร่างกายทั้งหมด ทำให้หลังทำคนไข้จะไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับแผลเป็นเลยครับ

ภาวะที่ต้องเจอเป็นปกติหลัง ดูดไขมันหน้าท้อง

  1. บวมช้ำได้เป็นปกติ ซึ่งมักจะเป็นไม่เกิน 5-10 วัน และหายเองทั้งหมด
  2. เป็นก้อนไตใต้ขั้นผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเป็นที่บริเวณท้องบน และเอวทั้งสองข้าง
  3. อาการชาเล็กน้อยที่บริเวณผิวหนัง

ภาวะดังกล่าวสามารถหายได้เอง 100% โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม

ดูดไขมันหน้าท้อง เอว ห่วงยาง ควรได้ปริมาณกี่ซีซี

ปริมาณไขมันที่จะดูดออกมา ไม่สามารถคาดเดาเป็นจำนวนที่แน่นนอนได้ เพราะแต่ละคนมีน้ำหนัก ส่วนสูงไม่เท่ากัน ถึงแม้บางคนมีน้ำหนัก ส่วนสูงเท่ากัน แต่ปริมาณไขมันที่ดูดออกมาได้ก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นคนไข้ไม่ควรเอาปริมาณไขมันเป็นเกณฑ์ หรือเป็นตัวตัดสิน แต่ควรดูที่ผลลัพธ์หลังทำมากกว่า

การดูแลหลังดูดไขมันหน้าท้อง

  1. ใส่ชุดกระชับ 1 เดือนครึ่ง (โดยพยายามใส่ให้ได้เยอะที่สุด ถอดซัก ถอดพักบ้างได้)
  2. รับประทานยาฆ่าเชื้อตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  3. ทำแผลทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหลังอาบน้ำ (ห้ามให้แผลโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหม) แนะนำให้ติดพลาสเตอร์กันน้ำตอนอาบน้ำ
  4. ทานยาแก้ปวดได้ หากมีอาการปวดมาก
  5. เว้นการยกของหนักๆ 2 สัปดาห์

ทำแล้วนานไหมกว่าจะเห็นผล

ดูดไขมันหน้าท้อง เอว ห่วงยาง เป็นบริเวณที่ผลลัพธ์จะเห็นช้าเร็วขึ้นอยู่กับบุคคล บางคนฟกช้ำง่าย ก็ต้องอาศัยเวลานานกว่าหน่อยกว่าจะฟื้นตัว บางคนฟื้นตัวเร็ว วันที่มาตัดไหม (7 วันหลังทำ) สวยแล้วก็มี แต่โดยส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาเห็นผลดังนี้

  • เริ่มเห็นผล ที่ 2 สัปดาห์
  • เห็นผลชัดเจน 50-60% ที่ 1 เดือน
  • เห็นผลชัดเจน 70-80% ที่ 2 เดือน
  • เห็นผลเต็มที่ 100% ที่ 6 เดือน

ดูดไขมันหน้าท้อง ถ้าทำแล้วเห็นผลจริง 1 เดือนควรจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้วครับ

สรุป

การดูดไขมันหน้าท้อง ถ้าเป็นไปได้ให้ทำทั้งท้องบน ท้องล่างพร้อมๆกัน และจะดีมากๆ หากทำพร้อมกับเอว และห่วงยางไปด้วย การดูดแบบเหมาเป็นการดูดไขมันแบบยุคใหม่ครับ เน้นลดไซส์ลงเยอะๆ สวยเป็นธรรมชาติ ดูไม่ปลอมครับ

โดยแต่ละคนจะเลือกการดูดแบบลีน หรือดูดแบบปั้นกล้ามท้อง ผมแนะนำให้แต่ละท่านลองดูรีวิวเยอะๆก่อนนะครับ แล้วมาตัดสินใจอีกครั้งว่าตัวเองชอบแบบไหนครับ ปัจจุบันการดูดแบบปั้นกล้ามท้อง หรือร่อง 11 มาแรงมากๆ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบนะครับ

One thought on “ดูดไขมันหน้าท้อง เจ็บไหม ราคาเท่าไหร่ มาหาคำตอบกันได้เลย

  1. Pingback: ร่อง 11 ปั้นได้ใน 7 วัน ด้วยการดูดไขมัน สร้างกล้ามท้องแบบมีมิติ

Comments are closed.